บทความธรรมะ "คนเดียวในดวงใจ (เเม่)"

เนื่องในเดือนสิงหาคมของทุกปี เป็นเทศกาลวันเเม่เเห่งชาติ จึงขอเขียนบทความธรรมะเกี่ยวกับพระคุณเเม่ ++@คำว่า  “แม่”  คำเดียวสั้นๆ  แต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่  เกินจะพรรณนาคุณได้จนหมดสิ้น  แม้จะมีคนพยายามเปรียบเทียบพระคุณของแม่  อย่างที่มีผู้แต่งเพลงสรรเสริญไว้ว่า  “...จะเอาโลกมาแทนปากกา  เอานภามาแทนกระดาษ  เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด  ประกาศพระคุณไม่พอ...”  แต่เพลงที่ขึ้นหิ้งอมตะชั่วนิรันดร์  คือ  เพลงค่าน้ำนม  ท่วงทำนองไพเราะเสนาะโสต  ตราตรึงในใจตลอดมา  และคงตลอดไป  เนื้อเพลงว่า  “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง  ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล  แม่เราเฝ้าโอละเห่  กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล  แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม  แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกปักดวงใจ  เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่  นี่แหละหนาอะไรมิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม  ควรคิดพินิจให้ดี  ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม  โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม  เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน  ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง  แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน  บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น  หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย”  เมื่อได้ฟังเพลงนี้เมื่อไร  ต้องหวนคิดแม่ผู้ให้กำเนิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หวนคิดถึงวันเก่าๆ  สมัยเป็นเด็ก  และเนื้อหาเพลงยังเกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมวิถีชีวิตคนไทย  ที่มีความผูกพันกับวัดวาอาราม  มีลูกชายต้องบวชเรียนทดแทนบุญคุณพ่อแม่  ด้วยหวังว่าจะได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสู่สุคติ  เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว   

 อันบุญคุณชนนีนี้ยิ่งใหญ่  ตั้งแต่เราอยู่ในครรภ์  ท่านก็คอยทะนุถนอม  ทนทุกข์ทรมาน  เวลาคลอด  ยิ่งทุกข์แสนสาหัส  ทุกข์อะไรก็ไม่ปาน  แต่แม่ต้องทน  เพื่อให้ลูกน้อยได้ลืมตาดูโลก  หวังอย่างเดียวคือให้ลูกเกิดมาร่างกายสมบูรณ์และปลอดภัย  แม่บางคนตายในขณะที่คลอดลูกก็มี  เอาชีวิตมาเสี่ยงตายกับการคลอดลูก  เห็นไหมล่ะ  มันเสี่ยงแค่ไหน 

ลูกแต่ละคนควรสำนึกในบุญคุณของท่าน  เมื่อเกิดมาแล้ว  ควรทำให้ท่านสบายใจ  รู้จักทดแทนพระคุณท่าน  เป็นลูกกตัญญู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ความรักของแม่ที่มีต่อลูก  เป็นความรักแท้ที่ไม่มีวันจืดจาง  วันแล้ววันเล่า  เดือนแล้วเดือนเล่า  ปีแล้วปีเล่า  แม่ก็ยังรักลูกเหมือนเดิม  จะมีลูกสักกี่คนที่ยังรักแม่  ไม่ใช่รักแต่ปาก  พฤติกรรมกลับไปทำอีกอย่าง  ทำให้แม่น้ำตาตก  หัวอกแทบสลาย  หากรักแม่จริง  เราต้องดูแลใส่ใจถามสุขทุกข์ของท่าน  ถ้าท่านไม่สบายเป็นไข้  ก็ต้องพาท่านไปหาหมอ  ซื้ออาหารผลไม้ไปฝากท่าน  ทำตัวให้เป็นคนดี  และเลี้ยงดูท่านอย่างสม่ำเสมอ  เพราะแม่เป็นเสมือนพระพรหม  ซึ่งให้ลูกเกิดมาในโลกนี้  และ  แม่ประกอบด้วยหลักธรรม  คือ  พรหมวิหาร  4  หรือที่เรียกว่า  “พรหม  4  หน้า” 

เมตตา  คือ  ความรักใคร่  ปรารถนาจะให้ลูกเป็นสุข

กรุณา  คือ  ความสงสาร  คิดอยากช่วยให้พ้นทุกข์

มุทิตา  คือ  ความพลอยยินดี  เมื่อลูกได้ดี

อุเบกขา  คือ  ความวางเฉย  ทำใจให้เป็นกลาง  เมื่อคราวต้องพรากจากกัน

แม่เป็นครูคนแรกของเรา  สอนให้เราหัดเดิน  หัดพูด  หัดนุ่งห่มเสื้อผ้า  หัดแต่งตัว  และสอนให้รู้จักธรรมเนียมมารยาทของสังคม  เมื่อจะเข้าโรงเรียน  แม่ต้องพาไปส่งที่โรงเรียน  ด้วยความรักบริสุทธิ์ที่มีต่อลูก  เป็นห่วงลูก  เมื่อไกลจากอ้อมแขน  และแม่ก็เป็นอาหุไนยบุคคล  ซึ่งเป็นบุคคลควรเคารพบูชาเสมือนพระอรหันต์ในบ้าน  ลูกทุกคนควรให้ความนับถือท่านเป็นอย่างยิ่ง  อย่าตีแม่  อย่าตวาดแม่  อย่าด่าแม่  อย่าดูถูกแม่  อย่าทำให้แม่ช้ำใจ

ด้วยเหตุนี้  ลูกที่ดีมีกตัญญู  พึงบำรุงมารดา  ตอบแทนบุญคุณท่านดังนี้  ตั้งใจเลี้ยงท่านให้ได้รับความสุข  รับใช้ทำกิจของท่าน  ช่วยดำรงวงศ์สกุล  ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับการรับทรัพย์มรดก  และเมื่อท่านละโลกนี้ไปแล้ว  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้  ลูกคนใด  ทำได้อย่างนี้  ย่อมเป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย  และถือได้ว่าเป็นคนดีของแม่  ดังธรรมภาษิตว่า  “นิมิตฺตํ  สาธุรูปานํ  กตญฺญูกตเวทิตา  แปลว่า  ความกตัญญูกตเวที  เป็นเครื่องหมายแห่งคนดี”  เพราะฉะนั้น  ผู้เขียนจึงได้แต่งบทกลอนสรรเสริญพระคุณแม่ไว้  เพื่อจำได้ง่าย  ดังต่อไปนี้  

คำว่า  “แม่”   คำเดียว   เพียงสั้นสั้น

พระคุณนั้น   ยิ่งใหญ่   มหาศาล

 หาอะไร   เปรียบเทียบ   สุดจะปาน

สุดประมาณ   พระคุณ   ของแม่เอย  

แม่คือ   พระพรหม   ผู้ให้เกิด

ทรงประเสริฐ   ด้วยหลัก   พรหมวิหาร

มีเมตตา   กรุณา   ทุกประการ

ใจประสาน   มุทิตา   อุเบกข์ธรรม 

 แม่คือครู  คนแรก   ที่พร่ำสอน

คอยถนอม   อบรม   บ่มนิสัย

เฝ้าฝึกฝน   อบรม   ทั้งกายใจ

ให้หทัย   ลูกนั้น   เป็นคนดี  

แม่คือ   อาหุไนย-   บุคคลแท้

ควรเทคแคร์   ดูแล   ให้ประเสริฐ

พระในบ้าน   ท่านนี้   สุดล้ำเลิศ

ลูกควรเทิด   ทูนไว้   ในดวงใจ